วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

ปัญหาพฤติกรรมสุขภาพวัยผู้ใหญ่


                                                              ปัญหาสุขภาพวัยผู้ใหญ่                                                     

 วัยผู้ใหญ่

วัยผู้ใหญ่เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดวัยรุ่นเมื่ออายุประมาณ 20-25 ปี หรืออาจเร็วกว่านั้น หากวัยรุ่นแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยก็ก้าวเข้าสู้ความเป็นผู้ใหญ่เลย วัยผู้ใหญ่คือวัยที่รับผิดชอบการดำเนินชีวิตของตน โดยนำประสบการณ์ต่าง ๆที่ได้สะสมมาตั้งแต่วัยเด็กมาใช้ในการปรับตัวและแก้ปัญหาชีวิต ผู้ที่ปรับตัวได้ดีในวัยผู้ใหญ่ คือ ผู้ที่ได้ผ่านพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยต่าง ๆมาตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่น มีวุฒิภาวะ คือ ความสมบูรณ์ของร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา สามารถเผชิญชีวิตและอุปสรรค์ต่าง ๆ ทั้งยามปกติและยามคับขัน มีความรับผิดชอบ กระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลตามทำนองคลองธรรม

วัยผู้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

1.วัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยหนุ่มสาว อายุ 20-25 ปีถึง 40 ปี วัยนี้มีพัฒนาการเต็มที่ของร่างกาย วุฒิภาวะทางจิตใจอารมณ์ พร้อมที่จะมีบทบาทที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนในเรื่องอาชีพ คู่ครอง และความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ อย่างมีความหมาย
2.วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน อายุ 40 ปีถึง 60-65 ปี เป็นวัยที่ได้ผ่านชีวิตครอบครัวและชีวิตการงานมาระยะหนึ่ง มีความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต
3.วัยผู้ใหญ่ตอนปลายหรือวัยสูงอายุ อายุ 60-65 ปีขึ้นไป เป็นวัยของความเสื่อมถอยของร่างกาย สภาพจิตใจ และบทบาททางสังคม การปรับตัวต่อความเสื่อมถอยและการเผชิญชีวิตในบั้นปลายเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตของวัยนี้

การเปลี่ยนแปลงพัฒนาการด้านร่างกาย
               
                 ระบบย่อยอาหารก็ทำงานลดลง การหลั่งน้ำย่อยและความต้องการพลังงานลดลง หากยังรับประทานอาหารเช่นเดิมจะมีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิดภาวะอ้วนเกิน (obesity)
                
ระบบผิวหนังมีความยืดหยุ่นน้อยลง เริ่มมีรอยย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า คอ และมือ ผมจะเริ่มร่วงและเจริญเติบโตช้า


                       สีผมจะเริ่มหงอกขาวเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 50 ปีทั้งเพศชายและหญิง เนื่องจากสารเมลานิน (melanin) ที่สร้างจากรากผมมีจำนวนลดลง
                       ฟันจะหักและร่วงหลุด กระดูกเริ่มเปราะบางและหักง่ายเนื่องจากการสร้างกระดูกเกิดขึ้นน้อย
                       อวัยวะที่ทำหน้า ที่รับรู้และสัมผัส จะมีความเสื่อมเกิดขึ้น เช่น ตา เปลือกตาจะเหี่ยวย่น ดวงตาไม่สดใสเริ่มฝ้าฟาง เพราะเยื่อบุลูกตาและท่อน้ำตาเหี่ยว ทำให้ขาดน้ำเลี้ยงลูกตากล้ามเนื้อควบคุมรูปของดวงตาจะขาดความกระชับลงเป็นลำดับ มีการเปลี่ยนแปลงที่แก้วตา แก้วตาไม่สามารถจะยืดหดตัวได้เหมือนก่อนๆ จึงไม่สามารถมองเห็นในระยะใกล้ได้ชัดเจน ส่วนใหญ่จะสายตายาว หลังอายุ 40 ปี จะมองไม่ชัดในที่มืดเนื่องจากมีการลดขนาดของรูม่านตา จะมีปัญหาในการอ่านหนังสือและการขับรถในตอนกลางคืน อวัยวะเกี่ยวกับการได้ยิน คือ หู จะมีความเสื่อมของเซลล์ทำให้การทำงานของหูผิดปกติ การได้ยินเสียงแหลมจะเสียก่อน การได้กลิ่นจะเสื่อมลง

ปัญหาที่พบในวัยผู้ใหญ่
1.ด้านร่างกาย
         ปัญหาการมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม การขาดการออกกำลังกาย
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
         ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการประกอบอาชีพ
                 - โรคที่เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางกายภาพ เช่น ความร้อน ความเย็น แสง เสียง การสั่นสะเทือน
                 - โรคที่เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางชีวภาพ เช่น โรคแอนแทรกซ์ โรคปอดชานอ้อย
                 - โรคที่เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางเคมี เช่น พิษจากตะกั่ว ปรอท แคดเมียม
ฝุ่นแร่ใยหิน ฝุ่นซิลิกา เบนซีน
2.ด้านจิตใจ
          วิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมลง
          วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ
          มีภาวะเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว
          วิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตสมรส
          ปัญหาเกี่ยวกับปัญหาของบุตร
3.ด้านสังคม
          ปัญหาการปรับตัวในการประกอบอาชีพ
          ปัญหาเรื่องการเลือกคู่ครอง
          ปัญหาชีวิตสมรส
          ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทใหม่
          ปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนใหม่
4.ด้านจิตวิญญาณ
          มีความกดดันเนื่องจากไม่สามารถแสดงศักยภาพด้านสติปัญญาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดโอกาสในสังคมและที่ทำงานขาดการยอมรับ
          ขาดที่พึ่งทางจิตวิญญาณเนื่องจากไม่สามารถจัดสรรเวลาไปปฏิบัติศาสนกิจได้
5.อุบัติเหตุ 

โรคต่างๆในวัยผู้ใหญ่

เมื่อปี พ.ศ.2558 ที่ผ่านมา นายแพทย์ พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย แถลงข้อมูลว่า ประชากรวัยทำงานอายุ 15-60 ปี ของไทย มีความเสี่ยงทางสุขภาพ 5 อันดับแรก ได้แก่
 1.โรคอ้วน เกิดจากการขาดการออกกำลังกายและกินอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป

2.โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งมีผลมาจากโรคอ้วน
 3.โรคมะเร็งระบบสืบพันธุ์ พบมากโดยเฉพาะในผู้หญิง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม
 4.โรคจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ นำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง หลอดเลือดสมองตีบ และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
 5.โรคเครียด (ไมเกรน) วัยทำงานเป็นวัยที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากที่สุด สาเหตุส่วนใหญ่มาจากสถานภาพทางการเงินและเรื่องงาน ยกตัวอย่างเช่น
                     
โรคปวดศีรษะ โรคไมเกรน คืออะไร
ไมเกรน เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่หลอดเลือดแดง บริเวณศีรษะไมเกรนเป็นโรคเรื้อรังไม่หาขาด ซึ่งอาจจะมีอาการเป็นครั้งคราว ลักษณะอาการที่สำคัญของไมเกรนนั้น ประกอบไปด้วย ส่วนใหญ่มักจะปวดศีรษะข้างเดียวประมาณ 70% หรือจะมีอาการปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างก็ได้ โดยทั่วไปจะมีอาการปวดศีรษะนาน 4-72 ชั่วโมง นอกจากนี้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียนและในบางราย อาจจะมีอาการกลัวแสงหรืออาการกลัวเสียงได้

 ในทางการแพทย์จะแบ่งโรคไมเกรนออกเป็น 5 ระยะ นั่นก็คือ

1.ระยะอาการนำ (Prodome)   มีอาการหงุดหงิด หิว ท้องเดิน ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย เหม็นกลิ่นอาหารภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนมีอาการปวดศีรษะ
2.ระยะ(aura)  มีอาการผิดปกติทางสายตา เช่น เกิดจุดเมื่อมองวัตถุ เห็นภาพผิดขนาด เห็นภาพเพียงครึ่งเดียว แสงซิกแซก มองเห็นเป็นเส้นคลื่นก่อนการปวดศีรษะประมาณ 1 ชั่วโมง
3.ระยะปวดศีรษะ  มีอาการปวดศีรษะแบบจุดๆ และส่วนมากแล้ว ผู้ป่วยจะปวดข้างเดียว แต่ก็พบที่ปวดศีรษะทั้งข้างได้เช่นกัน และมักจะมีเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น ปวดกระบอกตา ปวดต้นคอ คลื่นไส้อาเจียน กลัวแสง กลัวเสียง เป็นต้น
4.ระยะหายปวดศีรษะ (Resolution)  อาการปวดศีรษะมักจะหายไปหลังจากได้พักผ่อน เช่น การนอนหลับ การผ่อนคลาย การนวดเพื่อผ่อนคลาย เป็นต้น
5.ระยะภายหลังจากหายปวดศีรษะ (Postdrome)  หายจากอาการปวดศีรษะ แต่ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย ความคิดไม่แล่น คิดอะไรไม่ค่อยออก เป็นต้น


ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคไมเกรน

 สิ่งแวดล้อม ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น อากาศร้อนจัด อากาศหนาวจัด แสงแดดจ้าเกินไป และกลิ่นไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

 ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น ช่วงที่มีประจำเดือน รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ได้รับฮอร์โมนอื่นๆ และช่วงกำลังตั้งครรภ์ เป็นต้น

 อาหารบางชนิด ส่งเสริมให้เกิดไมเกรนได้ เช่น คาเฟอีน ผงชูรส (monosodium glutamate) ช็อกโกแลต แอสปาแตม (aspartame) เป็นต้น

 ยาและสารเคมีบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะได้ เช่น nitroglycerine, Hydralazine, Histamine, Resepine เป็นต้น

 ออกกำลังกายที่มากเกิน ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการกำเริบ ของอาการปวดหัวไมเกรนได้

 สภาพร่างกาย ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการไมเกรนได้ เช่น นอนไม่พอ เครียด วิตกกังวล ทำงานหนักมากเกินไป และอดอาหาร เป็นต้น

การป้องกันการเกิดโรคไมเกรน

       ผู้ป่วยโรคไมเกรนจะมีความไวต่อการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในร่างกาย และสิ่งแวดล้อมภายนอกมากเกินไป ดังนั้น จงพยายามหลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้า ที่จะกระตุ้นให้อาการปวดไมเกรนกำเริบ เช่น ควันบุหรี่ อาหารที่ใส่สารปรุงรส แดดร้อนแสงจ้า ฝนตกหนาวสั่น สภาวะที่เคร่งเครียด เสียงดังหนวกหู เป็นต้น
     ผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ห้ามรับประทานแอสไพรินเด็ดขาด นั่นก็เป็นเพราะว่า อาจเกิดเลือดออกในกระเพาะได้มากๆ และอาจทำให้เสียชีวิตได้

 อนึ่ง หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว อาการปวดไมเกรนยังมีอยู่ บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ยาป้องกันโรคไมเกรน ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ไม่ให้สมองหลั่งสารเซอโรโตนิน (Serotonin) ออกมามากเกินไป การใช้ยาป้องกันโรคไมเกรน ต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆ ไป และต้องกินยาต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน จนอาการไมเกรนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

 การรักษาโรคไมเกรน
      แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไมเกรน มีทั้งให้การรักษาแบบไม่ใช้ยา โดยการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับพยาธิกำเนิด ปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีแห่งชีวิต และการรักษาแบบใช้ยา โดยจำแนกออกเป็นยาป้องกันไมเกรน ที่ต้องรับประทานทุกวัน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการตั้งแต่ 3 ครั้ง ต่อเดือน และยารักษาอาการปวดศีรษะเฉียบพลัน
    อนึ่ง การดูแลรักษาเพื่อควบคุมการปวด ไม่ให้รบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยนั้น เป็นเรื่องสำคัญ การรักษาจะได้ผลดีหรือไม่ดีนั้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย ในการลดปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดด้วย การรักษาด้วยยามี 2 วัตถุประสงค์ นั่นก็คือ รักษาอาการปวดในระยะเฉียบพลัน และการป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในครั้งต่อไป
   โดยส่วนมาก การปวดศีรษะจากโรคไมเกรนนั้น มักจะรักษาไม่หายด้วยยาแก้ปวด พาราเซตตามอลธรรมดาทั่วๆ ไป ยาที่ได้ผลดี คือ ยาแก้ปวดแอสไพรินขนาด 2 เม็ด แต่ข้อควรห้ามรับประทานแอสไพรินในขณะท้องว่าง และผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ห้ามรับประทานแอสไพรินเด็ดขาด นั่นก็เป็นเพราะว่า อาจเกิดเลือดออกในกระเพาะได้มากๆ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่แน่ใจว่า เป็นโรคกระเพาะหรือไม่ ก็ให้รับประทานยาเคลือบกระเพาะอาหาร หรือนมร่วมด้วย ก็จะป้องกันการระคายเคืองของแอสไพรินต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
   
  อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการปวดไมเกรน ควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเสียก่อน หากอาการปวดไมเกรนยังไม่ดีขึ้น ให้บรรเทาโดยการนวด และพักผ่อน ให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และหากยังมีอาการปวดอยู่อีกจึงค่อยๆ ใช้ยารักษาตามระดับของความรุนแรงของอาการปวด ข้อสำคัญพึงระลึกเอาไว้ว่า ยาสำหรับโรคไมเกรนนั้น มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรใช้ยาในความดูแลของแพทย์ทุกๆ ครั้ง

การสร้างเสริมสุขภาพ

กลุ่มวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและตอนกลางอายุ 20-35 ปี

การสร้างเสริมสุขภาพทางกาย
          อาหารหลัก 5 หมู่ ยังมีความสำคัญต่อการใช้พลังงานในแต่ละวัน วัยนี้มักจะทำงานจนลืมออกกำลังกายและคลายเครียดอาจมีภาวะอ้วนได้ ความเครียดจากการศึกษาต่อ การปรับตัวต่อสถานที่ทำงานใหม่ หรือการย้ายงาน ความเร่งรีบจากการทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิต ปัญหาที่พบในวัยนี้คือคิดว่าร่างกายแข็งแกร่ง ไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ ทำงานหาเงินจนลืมดูแลตนเอง ขาดการออกกำลังกายเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมโรคเรื้อรังตามมา ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันสูง มะเร็ง โรคเครียด เป็นต้น
การเสริมสร้างสุขภาพทางพัฒนา การและจิตใจ
             การปลูกฝังและสร้างความตระหนักให้เห็นความสำคัญของการออกกำลังกายและการพักผ่อนที่เหมาะกับการทำงาน เพื่อสำรองพลังงานลดปัจจัยเสี่ยงสะสมที่จะก่อให้เกิดโรคเรื้อรังในอนาคต การสร้างบรรยากาศที่ทำงานน่าอยู่ เช่น การคลายเครียดและการออกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ การปรับตัวต่องานและเพื่อนร่วมงาน การจัดสัดส่วนรายได้ต่อรายจ่ายการปรับตัวต่อบทบาทสามี-ภรรยา การปรับตัวต่อบทบาทบิดาและมารดาครั้งแรก

กลุ่มวัยทางานผู้ใหญ่ตอนปลายถึงก่อนวัยสูงอายุอายุ 35-59 ปี

การสร้างเสริมสุขภาพทางกาย
           แม้ว่ายังไม่เป็นโรค การดูแลตนเองด้านการรับประทานที่ถูกหลักลดอาหารเค็ม หวาน มัน ผัด ทอด ปิ้ง ย่าง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การเกิดหลอดเลือดสมองตีบตันและแตก โรคมะเร็ง เป็นต้น การนอนหลับสนิทจะมีความจาเป็นต่อมนุษย์ทุกช่วงวัย เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนช่วยชะลอวัยดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อพัฒนาสุขภาพและเป็นพลังสารองเต็มที่ แม้มีโรคทางพันธุกรรมก็จะสามารถชะลอระยะเวลาการเป็นได้ ร่วมกับเน้นการอออกกำลังกายที่ถูกหลักและใช้ออกซิเจนต่อเนื่องวันเว้นวัน 20-30 นาทีต่อครั้ง สามารถลดไขมันตัวร้าย (LDL) เพิ่มไขมันตัวดี (HDL) กล้ามเนื้อ เอ็นกระดูก ข้อต่อและผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี สอดคล้องกับรายงานการวิจัยผลการออกกาลังกายหนักระดับปานกลางพอทนได้แบบใช้ออกซิเจนอย่างต่อเนื่องในผู้ที่ยังไม่ป่วยหรือผู้ที่ป่วยแล้ว สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เฉลี่ย 90 นาทีต่อสัปดาห์ สามารถลดระดับความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ความทนต่อความเหนื่อยเพิ่มมากขึ้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและหลังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การวิจัยได้แสนอแนะว่าต้องมีการสร้างการรับรู้ความสามารถและลดอุปสรรคที่จะขัดขวางต่อการออกกำลังกาย เช่น ความอาย การอ้างว่า ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีเพื่อน ไม่มีเวลา การไม่ทราบหลักการออกกำลังกายที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดการบาดเจ็บ ในทางตรงกันข้ามควรเพิ่มการรับรู้ความ สามารถในการออกกำลังกาย เช่น การฝึกทักษะด้วยตนเอง การให้เห็นตัวอย่างหรือมีผู้นำออกกำลังกาย การตั้งชมรมออกกำลังกาย การยกย่องและชมเชยถ้าปฏิบัติได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้การออกกำลังกายไม่จำเป็น ต้องใช้อุปกรณ์หรือเวลามาก เพียงรู้หลักการออกกำลังกายที่ถูกต้องและมีจิตใจที่มุ่งมั่นก็สามารถชนะอุปสรรคได้
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี
ความต้องการสารอาหารในวัยผู้ใหญ่

แนวทางในการบริโภคอาหารสาหรับผู้ใหญ่
         วัยผู้ใหญ่ควรรับประทานอาหารหลักให้ครบ5หมู่เช่นเดียวกับวัยอื่น ๆและรักษาน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดื่มนม หรือนมถั่วเหลืองวันละ1-2ถ้วยตวง อาหารทั้ง3มื้อควรประกอบด้วยอาหารดังนี้
         ข้าวหรือแป้ง½ -2ถ้วยตวง
         เนื้อสัตว์3-4ช้อนโต๊ะ
         ผักต่างๆ4ช้อนโต๊ะ
         น้ามัน หรือ ไขมัน1ช้อนโต๊ะ
         ผลไม้1-2ส่วน
        คาร์โบไฮเดรต
           ในวัยผู้ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าให้บริโภคเฉพาะข้าวเท่านั้น  แต่ควรบริโภคสับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นอาหารอื่นที่ให้คาร์โบไฮเดรต เช่น บางมื้อเปลี่ยนจากข้าวเป็นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมปัง และขนมจีน ข้าวที่บริโภคควรเป็นข้าวกล้อง และควรบริโภคเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับวิตามินบี 1ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกระตุ้นความอยากบริโภคอาหาร
      โปรตีน   
         เนื้อสัตว์ ควรบริโภคเนื้อสัตว์ที่หลากหลาย และควรบริโภคเครื่องในสัตว์สัปดาห์ละ 1 -2 ครั้ง อาหารทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้าเปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นไข่ 1 ฟอง เท่ากับ 2 ส่วน ในผู้ใหญ่ควรบริโภคไข่มื้อละ ½ -1ฟอง ซึ่งอาจเป็นไข่ต้ม ไข่ทอด หรือใส่ในอาหารอื่น
วิตามินและเกลือแร่
         ผู้ใหญ่ควรรับประทานผักใบเขียว และผักอื่นทุกวันในทุกมื้อโดยบริโภคผักสีเขียวและผักสีอื่น เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง ผักสีเขียว เพราะมีเบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็กสูง และวิตามินซีอีกด้วย
ควรบริโภคผลไม้สดและมีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้มชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการขาดวิตามินซี หรือจะบริโภคผักและผลไม้ ให้ครบ 5 สีตามสมัยนิยม คือ สีเขียว สีน้ำเงินหรือม่วง สีขาวหรือน้าตาล สีเหลืองหรือส้ม และสีแดง เพื่อให้ได้รับสารไฟโตเคมีคอล (phytochemicals)
ไขมัน
     ไขมัน วัยผู้ใหญ่จะได้รับในรูปของน้ำมันที่ใช้ในการทอด ผัดอาหาร รวมถึงกะทิที่ใส่ในแกง และขนมหวานบางชนิด
ผู้ใหญ่ควรลดปริมาณอาหารที่มีไขมัน หรือบริโภคให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะอาหารจาพวกไขมันอิ่มตัว อาหารที่มีโคเลสเตอรอล

แนวปฏิบัติในการจัดอาหารวัยผู้ใหญ่

การจัดอาหารต้องคำนึงถึงพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น 
    ถ้าทำงานเบาควรจะต้องระวังไม่ให้ได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป
    จัดอาหารให้มีความหลากหลายครบ 5หมู่ ควรมีผักและผลไม้ทุกมื้อ
    มื้ออาหารที่สำคัญ ควรเป็นอาหารมื้อเช้าและกลางวัน
    เพราะต้องทำงานทั้งวัน ส่วนมื้อเย็นอาจจะความสาคัญลงได้บ้าง
    เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเกิน
    เนื่องจากปัญหาที่มักพบในวัยผู้ใหญ่ คือ การที่ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและใช้ไม่หมด อาหารส่วนที่เกินจะถูกสะสมไว้ในรูปของไขมันทำให้น้ำหนักตัวเกิน จนทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ในที่สุด จึงควรคำนึงถึงแนวปฏิบัติในการจัดอาหารดังนี้

สมาชิกในกลุ่ม 
    1.นางสาวสุนิศา          ธ.น.ดี          57011413028
    2.นางสาวกานติมา     พัดโท         57011413041
    3.นางสาวคัทยวรรณ  แสงชมพู    57011413043
    4.นางสาวทิพวัลย์      จันหนองหว้า 57011413062
    5.นางสาวมาลิตา        สุพร             57011413073
 ุ   6.นางสาวอุไรรัตน์      ปีพมพ์         57011413033
วัน/เดือน/ปี : 22/04/2560




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น